ตอนที่ 6...คน ! คน !

ตอนที่ 6...คน ! คน !

        อยู่มาไม่นาน...พระเจ้านเรนทร์ได้รับรายงานจากชาวเมืองปัจจันตคามว่า มียักษ์สองตัว เข้ามารังควานชาวเมือง จับเอาผู้คนไปฉีกเนื้อกินเป็นอาหารอยู่เสมอเป็นมิได้ขาดทำให้ชาวบ้าน ชาวเมืองทั้งหลายได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเพราะคอยแต่หวาดกลัวยักษ์ร้าย จนไม่ เป็นอันต้องทำมาหากินกัน ขอให้พระราชาจัดการส่งทหารไปปราบยักษ์ทั้งสองตัวนี้ให้เสร็จสิ้นไป ในเร็ววันด้วย ซึ่งเมื่อทรงทราบรายงานดังนั้นพระองค์ก็พิจารณาเห็นว่า อันยักษ์นั้นมี ความดุร้ายและฤทธิ์เดชมาก การที่จะส่งทหารไปปราบนั้นเห็นทีจะไม่เป็นผล ควรที่จะส่งคนมีปัญญา อย่างธนญชัยไปปราบจะดีกว่า จึงรับสั่งให้เรียกธนญชัยมาเฝ้าโดยด่วน แล้วรับสั่งว่า

       " นี่แน่...ธนญชัย บัดนี้ ที่ปัจจันตคามของเรามียักษ์สองตัวเข้ามา อาละวาด จับผู้คนไปกินเป็นอาหารอยู่เสมอ ข้าก็มองไม่เห็นใครที่จะส่งไปปราบยักษ์สองตัวนี้ให้อยู่ มือได้ นอกจากท่านคนเดียวเท่านั้น "

       " ข้าขอทูลรับอาสา พะย่ะค่ะ " ธนญชัยทูลตอบอย่างไม่ต้องคิด " ข้าขอทูลลาพระองค์ไปจัดการกับมันเดี๋ยวนี้ "

       " เออ ! ดีมาก เราขออวยพรให้ท่านโชคดี และกลับมาพร้อมด้วย ความสำเร็จทุหประการ " พระราชารับสั่งประทานพรในที่สุด

       ธนญชัยเดินทางมุ่งไปยังปัจจันตคาม...หมู่บ้านชายแดน เพื่อปราบ ยักษ์โดยลำพังคนเดียว ครั้นมาถึงชายป่าอาณาเขต เขาก็เหลือบไปเห็นยักษ์ทั้งสองกำลังนอนหลับอยู่ ใต้ต้นไม้ มันทั้งสองส่งเสียงกรนสนั่นป่า

       ธนญชัยพยายามรวบรวมสติกำลังให้เข้มแข็ง เดินไปเก็บก้อนหิน เล็ก ๆ ตามบริเวนนั้นใส่ย่ามจนเต็มเกือบครึ่งแล้วไต่ขึ้นไปบนต้นไม้ เดินไปตามกิ่งซึ่งตรงกับที่ยักษ์นอน พอดี ครั้นแล้วก็ล้วงก้อนหินในย่ามทิ้งลงบนอกยักษ์ตัวแรก

       เป็นนาน ยักษ์ตนนั้นก็ยังนอนเฉย เขาจึงทิ้งก้อนหินลงไปอีกเป็น ระยะ ๆ จนมันตื่นขึ้น หันมาผลักเพื่อนซึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ พลางตะคอกว่า

       " เรื่องอะไร ถึงมาทุบข้า ? "

       ฝ่ายยักษ์ตนที่สองไม่รู้เรื่องราว พอถูกเพื่อนผลักและตะคอกให้ดัง นั้น ก็ตกใจตื่นและตอบว่า

       " เอ็งฝันไปละมั้ง ? " ต่างก็นอนหลับต่อไปใหม่ คราวนี้ธนญชัย ทิ้งก้อนหินลงบนร่างยักษ์อีกตนหนึ่ง

       " เอ๊ะ ! เอ็งจะบ้าหรือไงวะ " ยักษ์ที่ถูกก้อนหินร้องลั่นขึ้น " เอ็ง ทุบข้าทำไม ? "

       " เปล่า ! ข้าไม่ได้ทุบเอ็งสักนิด อย่ามาหาเรื่องนะ " ยักษ์อีกตน หนึ่งตอบเสียงขุ่น

       " งั้นใครทุบข้าวะ ? "

       " ไม่รู้...ข้าไม่รู้ " ยักษ์ทั้งสองทะเลาะกันไม่กี่คำ เนื่องจากมันต่าง ก็ง่วงเต็มทน จึงยอมเลิกแล้วต่อกันไปและหันมานอนหลับต่อไปตามเดิม

       คราวนี้ ธนญชัยเดินแผนขั้นสุดท้าย โดยล้วงเอาหินก้อนใหญ่ กว่าเก่า เหวี่ยงลงบนหน้าอกยักษ์ตัวแรกอย่างสุดแรง เล่นเอาเจ้ายักษ์สะดุ้งเฮือก โดดผลุงลุกขึ้น ด้วยความโกรธสุดขีด " แกเล่นบ้า ๆ แบบนี้ข้ายอมไม่ได้เสียแล้ว อ้ายระยำ "

       ว่าพลางยกเท้ากระทืบหน้าอกเพื่อนเต็มแรง ฝ่ายยักษ์อีกตนหนึ่ง เมื่อถูกกระทืบอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นนั้นก็โมโหสุดขีดเหมือนกัน มันถลันลุกขึ้นเตะต่อยเพื่อนอุตลุด

       ยักษ์ร้ายทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร จนในที่สุด ต่างก็หมดแรงเป็นลมล้มพับลงทั้งคู่

       ธนญชัยซึ่งอยู่บนต้นไม้เห็นเช่นนั้น จึงโดดลงมาเอาดาบจ้วงแทง ยอดอกของยักษ์ทั้งสอง จนมันขาดใจตายสนิทแล้ว ก็ตัดลิ้นของมันใส่ย่าม ออกเดินทางกลับนริทร์นคร เพื่อทูลรายงานให้พระราชาทรงทราบต่อไป 

        " ท่านเก่งมาก ธนญชัย " พระเจ้านเรนทร์ทรงตบพระหัตถ์ฉาด ฉานด้วยความยินดีพระทัยเมื่อได้รับรายงานพร้อมด้วยลิ้นยักษ์ทั้งสองจากธนญชัย " ท่านเก่งสมกับ ที่เราไว้วางใจ แต่..."

       " พระองค์ยังมีอะไรข้องพระทัย พะย่ะค่ะ " ธนญชัยทูลถามขึ้นก่อน ที่พระราชาจะรับสั่งจบ

       " เปล่าหรอก ธนญชัย ข้าไม่มีอะไรข้องใจหรอก " พระราชาตอบ " แต่...ข้ามีอีกเรื่องที่จะรบกวนท่าน แต่ก็ท่านกำลังมาเหนื่อย ๆ จึงไม่อยากบอก "

       " พระองค์ได้โปรดบอกข้ามาเถอะ พะย่ะค่ะ ข้าพร้อมที่จะรับสนอง พระบัญชาของพระองค์เสมอ "

      " คืออย่างนี้ " องค์ราชารับสั่งขึ้นหลังจากที่นิ่งไปชั่วครู่ " หลังจาก ที่ท่านไปปัจจันตคามได้ไม่ทันข้ามวัน มีชาวเมืองด้านตะวันออกมารายงานข้าอีกว่า ที่นั่นมีวัวกระทิง ขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง บุกเข้ามาทำร้ายผู้คนแถบนั้นอยู่เนือง ๆ วัวกระทิงตัวนี้ดุร้ายมาก ใครเข้าใกล้มัน เป็นต้องถูกขวิดเอาตายทุกคน "

       " อ๋อ ! เรื่องแค่นี้เองหรือ พะย่ะค่ะ ? ข้าขอรับอาสาไปปราบวัว กระทิงตัวนี้เสียเลย "

       " แหม ! ข้าขอบใจมาก ธนญชัย และขออวยพรให้ท่านโชคดีอีก ตามเคย "

      ธนญชัยก้มลงกราบแทบพระบาท แล้วทูลลากลับไปยังบ้านของตน เพื่อเตรียมเครื่องมือในการเดินทางไปปราบกระทิงต่อไป ซึ่งเครื่องมือที่เขานำไปครั้งนี้ ไม่มีอะไร มี เพียงสองอย่างคือเชือกกับขวานเล่มเดียวเท่านั้น ครั้นแล้วเขาก็เดินทางบ่ายหน้าตรงไปยังเมืองด้าน ตะวันออกอันเป็นที่เกิดเหตุร้ายทันที...ทันทีที่ไปถึง เขาก็ไปถามชาวเมืองถึงที่อยู่ของวัวกระทิงตัวร้าย ครั้นได้ทราบว่าเจ้าวัวตัวนี้อยู่ในป่านอกเมืองด้านทิศเหนือ เขาจึงตรงไปหามันโดยไม่หวั่นเกรงทันที

       และเมื่อไปถึบริเวณป่าแห่งนั้น วัวกระทิงเห็นเขาเข้ามันรี่เข้าใส่ พร้อมกับส่ายเขาโง้งหมายทิ่มพุงธนญชัย โดยไม่ชักช้า

       " ใจเย็น ๆ บักเกลอแก้ว " ธนญชัยร้องบอกอย่างติดตลก " ขืนรีบ ร้อนอย่างนี้ แกจะเสียท่าข้านะ จะบอกให้ " แต่วัวกระทิงไม่ฟังเสียง มันเผ่นพรวดถึงตัวธนญชัยอย่าง รวดเร็ว...กระนั้นก็ยังช้าไปกว่าธนญชัย ซึ่งคอยทีอยู่ก่อนแล้ว พอเจ้าวัวพรวดมาถึง เขาเผ่นเข้าหลบ ข้างต้นไม้ทันควันเล่นเอาวัวซึ่งเผ่นมาอย่างสุดกำลังต้องเสียหลัก และซ้ำร้ายเขาโง้งของมันยังกระหน่ำ พรวดเข้าไปในต้นไม้ต้นนั้นอย่างถนัดถนี่ ไม่สามารถจะถอดออกได้

       " เป็นอันว่าแกเสร็จข้า " ธนญชัยหัวเราะก้องด้วยความพอใจ ที่ ทุกอย่างสำเร็จลงอย่างง่ายดายเช่นนั้น เขาออกจากที่กำบัง เอาเชือกมัดวัวกระทิง พร้อมกับเอาขวาน ฟันเขามันจนขาดไม่มีเหลือ แล้วจูงออกจากป่านำกลับมาถวายพระนเรนทร์โดยไม่รอช้า และ...

       คราวนี้ ดูเหมือนพระราชาจะทรงตื่นเต้นยินดีในความสำเร็จของ เขาเป็นอย่างมาก ถึงกลับพระราชทานบำเหน็จรางวัล เป็นทองคำเท่าลูกฟักแก่เขาลูกหนึ่งซึ่ง...

       ข่าวการได้มา ซึ่งทองคำเท่าลูกฟักของธนญชัยนี้ แพร่กระจายไป อย่างรวดเร็ว พอ ๆ กับการพูดถึงความเก่งกล้าสามารถของเขา จากปากเดียวไปสู่สองปาก.....สามปาก เรื่อย ๆ จนกระทั่งทั้งในเมืองและออกนอกเมือง และก็เข้าไปถึงในป่า ซึ่งเป็นที่ซ่องสุมของเหล่าโจร ก๊กหนึ่งแน่หละ โจรพวกนี้ พอได้ทราบข่าวอันน่าตื่นเต้นเช่นนั้นก็หูผึ่ง เจ้าโดดผู้เป็นลูกพี่เรียกสมุน ชั้นเสนาธิการสมองใสมาประชุมวางแผนหาทางขโมยทองจากธนญชัย มาเป็นของมันทันที

       " แหม ! ข้าอยากได้ทองคำลูกนี้จริงวะ " เสือโดดลูกพี่เอ่ยขึ้นเป็น ประโยคแรก " ถ้าได้มา พวกเราเลิกเป็นโจรกันได้แล้ว ถึงจะไม่ทำอะไรก็นั่งกินนอนกินอย่างสบาย ไปทั้งชาติ จริงไหมวะ ? "

       " จริงลูกพี่ " สมุนคนหนึ่งว่า " แต่เจ้าธนญชับมันเก่งนะ เราจะ ไปขโมยมันมาได้อย่างไร ? "

       " โธ่ ! พวกเอ็งไปกลัวมันทำไมได้ จะเก่งสักแค่ไหนวะ ยังไงข้าว่า มันต้องมีเผลอบ้างหละ " ลูกพี่แย้งทันควัน " เอายังงี้ก็แล้วกัน ข้าจะออกหัวคิดเอง รับรองต้องสำเร็จ แน่ ๆ "

       " เอายังไง พี่ ? " สนุนทุกคนต่างร้องถามขึ้นพร้อมกันด้วยความ สนใจ จนเสียงอึงคนึงไปหมด เล่นเอาลูกพี่ต้องหันมาโบกมือห้าม

       " เงียบ ! พวกเอ็งอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องเสือกสอดขึ้นมาเดี๋ยวข้าจะพูด ให้ฟัง " เสือโดดเงียบไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยต่อไป " อ้ายธนญชัยมันเป็นคนฉลาด แต่คงไม่เฉลียวเท่าไรนัก ข้ากลับอ้ายกลิ้งจะเข้าไปเป็นคนใช้ในบ้านมัน เพื่อสืบความลับดูก่อนสักสองสามวัน หากเห็นจังหวะดี ก็จะฉกเอาทองมาแจกพวกเอ็งเสียเลย พวกเอ็งคอยอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน "

       พูดพลางขุนโจรก็หันมาทางลูกน้องผู้หนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ " นี่... อ้ายกลิ้ง เอ็งเตรียมตัวไปเป็นคนใช้อ้ายธนญชัยเดี๋ยวนี้ ข้าจะเข้าไปด้วย "

       " ไปซี่พี่ " เจ้ากลิ้งตอบทันที " ข้ารับรองจะทำงานอย่างสุดความ สามารถทีเดียว "

      ครั้นแล้ว เสือโดดก็จัดแจงแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆขาดรุ่งริ่งเอา ฝุ่นทาหน้ามอมแมม และให้เจ้ากลิ้งแต่งตัวดุจเดียวกับตน เสร็จแล้วออกเดินทางมุ่งตรงไปยังบ้าน ธนญชัยโดยไม่รอช้า

       เมื่อไปถึงก็เข้าไปหาธนญชัย พลางบอกว่าตนเป็นคนบ้านนอก ยากจนไม่มีที่พึ่งพาอาศัย ขอพึ่งบารมีทำงานรับใช้เพื่อแลกข้าวกินไปวัน ๆ สักระยะหนึ่ง ซึ่งธนญชัย ก็ตกลงรับอุปการะโดยดี ด้วยความสงสาร...

       ครั้นได้เข้ามาอยู่ในบ้านธนญชัยสมความต้องการแล้ว เสือโดดกับ เจ้ากลิ้งก็พยายามตั้งหน้าตั้งตาทำงานรับใช้ธนญชัยด้วยความขยันขันแข็ง พร้อบกับพยายามสืบที่เก็บ ทองคำลูกนั้นไปด้วยเสมอมา จนเวลาล่วงไปได้สองสามวัน ความหวังที่จะได้ทราบที่เก็บทองคำของมัน ก็ยังเลือนรางเต็มที แม้มันจะพยายามตีสนิทกับคนใช้คนอื่น ๆและเลียบเคียงถามถึง ก็หาได้มีใครทราบ ไม่ กระทั่ง....

       เวลาล่วงมาวันหนึ่ง ซึ่งวันนั้นจะเป็นวันโชคดีของมันก็ไม่ทราบได้... ตอนค่ำวันนั้น มีแขกคนหนึ่งมาเยี่ยมธนญชัย นั่งคุยกับเขาอยู่ในห้องส่วนตัวได้พักเดียวตอนจะกลับเกิด เป็นลมล้มฟุบลงขาดใจตายอย่างกระทันหันโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุมาก่อน ฝ่ายธนญชัยเห็นเช่นนั้น ด้วยเกรงเรื่องจะอื้อฉาวไปในทำนองไม่ดีไม่งาม จึงจัดแจงปิดประตูห้องไม่ให้ใครเข้ามาเห็น แล้วตัดศพ ชายผู้นั้นออกเป็นท่อน ๆ บรรจุลงในไหใบใหญ่ วางท่อนหัวไว้ข้างบนแล้วปิดให้มิดชิด เรียบร้อยจึง เปิดประตูเรียกคนใช้คนสนิทมาช่วยเขาหามไปฝังยังสวนบ้านเป็นการด่วน

       การนำไหใบใหญ่ไปฝังของธนญชัยกับคนใช้คนสนิทครั้งนี้ หาได้ รอดพ้นจากสายตาของขุนโจรทั้งสองไม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทั้งเสือโดดและเจ้ากลิ้งต่างก็ตื่นเต้น ดีใจเป็นที่สุด เพราะนึกว่าสิ่งที่อยู่ในไหซึ่งธนญชัยนำมาฝั่งนั้น ต้องเป็นทองที่มันต้องการแน่ และ....

       ทันทีที่ธนญชัยและคนใช้คนสนิท จัดการขุดหลุมฝังไหใบใหญ่ที่ สวนหลังบ้านเป็นที่เรียบร้อย และกลับขึ้นบ้านแล้วเสือโดดก็หันกลับมากระซิบกับเจ้ากลิ้งสมุนคู่ใจว่า " นี่...อ้ายกลิ้ง เอ็งนึกบ้างไหมว่า ในไหนั่นจะเป็นของที่เราต้องการ "

       " ข้าก็ว่าอย่างงั้น ลูกพี่ " เจ้ากลิ้งตอบทันที

       " ถ้างั้นเรารอให้ดึกอีกสักหน่อย แล้วค่อยลงมือกันนะ " เมื่อนัด แนะกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็เข้าไปนอนในห้องพักคนใช้ รอเวลาด้วยหัวใจเต้นตุ้ม ๆ ต้อม ๆ อยู่พักใหญ่ คะเนว่าดึกพอสมควรแล้ว จึงออกมาพร้อมด้วยพลั่วเชือกเส้นใหญ่ และไม้ดานสำหรับหาม อย่างพร้อมสรรพ...ตรงไปยังสวนหลังบ้าน จัดแจงขุดไหใบนั้นขึ้นมา ผูกปากไหเรียบร้อยแล้ว เสือโดด จึงเอาไม้ไผ่สอดเข้าไปในเชือก สั่งให้เจ้ากลิ้งเอาบ่าเข้ารับไม้คานออกเดินหน้า ส่วนตัวมันอยู่หลัง รีบรุดออกไปอย่างเงียบกริบด้วยความดีอกดีใจทันที

       ทั้งสองขุนโจรช่วยกันหามไหใบนั้นลัดเลาะออกมาตามความมืด ของต้นไม้ สักครู่ก็พ้นจากเขตบ้านธนญชัยแล้วเลี้ยวลัดไปตามทางเปลี่ยว ตัดไปยังที่อยู่ของมันอย่าง เร่งร้อน จนเวลาล่วงไปอีกพักใหญ่ ขณะที่เดินมาถึงทางโค้งจะเลี้ยวเข้าป่าใหญ่นั่นเอง เสือโดดที่ลูก พี่ที่อยู่ข้างหลังชักนึกคันไม้คันมือ อยากจะล้วงดูทองในไหเป็นกำลัง มันคิดว่า บางทีอาจจะมีทอง แท่งปนอยู่ด้วย เพราะจากน้ำหนักที่มันเอาบ่ารับคานหามมาตลอดทางนี้ รู้สึกว่ามันหนักกว่าน้ำหนัก ของทองเท่าลูกฟักเป็นไหน ๆ และหากมีทองแท่งปนอยู่ด้วยจริง ๆ แล้วก็เป็นโอกาศดีที่มันจะเอาไว้ เป็นของมันก่อนที่จะถึงพวกสมุนบ้าง โดยเฉพาะเจ้ากลิ้งซึ่งแบกอยู่ข้างหน้าก็ไม่มีทางได้รู้แน่

      อย่างรวดเร็วเท่าความคิด เสือโดดพยายามขยับไม้คานเลื่อน ตนเองเข้าไปใกล้ ๆไหเข้าไปเรื่อย ๆ จนได้ระยะเหมาะแล้วจัดแจงแกะฝาไม้ที่ปิดไหออกจนสำเร็จ แล้วล้วงมือลงไปในไห ด้วยหวังจะได้พบทอง แต่....

       ทันใดนั้น มันต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อมือคลำไปถูกผมของคน ภายในไหนั้น ขณะเดียวกันปากก็อุทานออกมาว่า

       " คน ! คน ! "

       ฝ่ายเจ้ากลิ้งผู้นำหน้าได้ยินดังนั้น นึกว่ามีคนติดตามมาข้างหลัง ให้ตกใจสุดขีด โดยมิทันได้หันมาถาม เท้าของมันเร่งโกยอ้าวดึงลูกพี่ซึ่งบ่าติดไม้คานด้วยกันไปทันที

       เสือโดด เมื่อถูกลากเช่นนั้น ก็จำต้องวิ่งตามอุตลุด แต่มือก็ยังควานอยู่ในไหด้วยความสงสัย ซึ่งคราวนี้คลำไปถูกใบหู ยิ่งให้แน่ใจว่าเป็นหูของคน ปากก็อุทาน ออกมาอีก

      " คน ! คน ! "

       แน่หละ! คราวนี้เจ้ากลิ้งยิ่งตกใจ เร่งฝีเท้าห้อตะบึงเป็นการใหญ่ เพราะมันแน่ใจว่าลงลูกพี่ร้องขึ้นมาเป็นครั้งที่สองเช่นนี้ ต้องมีคนไล่กวดติดตามกระชั้นชิดเข้ามาแล้ว... มันลากลูกพี่วิ่งถูลู่ถูกังไปอย่างไม่คิดชีวิต และไม่รู้ว่าไปทิศทางไหน เพราะข้างหน้ามืดสนิทมองไม่ เห็นอะไร ฝ่ายลูกพี่ก็จำต้องวิ่งตุปัตตุเป๋ตาม พลางมือก็คลำต่อไปในไห และ....

       ครั้งนี้ เพื่อความแน่ใจยิ่งขึ้น มันลากศรีษะของศพซึ่งอยู่ในนั้น ออกมาพ้นปากไหทันที พอดีมีแสงวูบวาบจากหิ้งห้อยสองสามตัวผ่านมา เสือโดดร้องลั่น พลางปล่อย ศรีษะอันนั้นร่วงหล่นสู่พื้นดินด้วยความตกใจ

       " คนโว้ย ! คน ! คนจริง ๆ "

       เล่นเอาเจ้ากลิ้งซึ่งหอบซี่โครงบานมาเป็นเวลานานและกำลังชะลอ ฝีเท้าลดความเร็วลง ต้องโกยอ้าวอีกอย่างเต็มที่ ข้างลูกพี่ก็ต้องห้อตามจนสุดกำลัง จนกระทั่ง.....

       " โครม ! "

       เจ้ากลิ้งซึ่งวิ่งมาเต็มเหยียด ปะทะเข้ากับต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า เต็มเหนี่ยว ร่างมันกระดอนลงฟาดขาดใจไปทันใด ขณะเดียวกัน เสือโดดก็ถูกไหใบใหญ่เหวี่ยวตูมเข้า ท้องเต็มรัก ด้วยแรงเหวี่ยวขณะที่ไม้คานข้างหนึ่งหล่นจากบ่าของเจ้ากลิ้ง และแน่นอนเหลือเกิน เสือ โดดหงายผึ่งลงดาวดิ้นสิ้นใจไปกับลูกน้องในบัดดลนั้นเอง...โธ่เอ๋ย...โธ่ถัง... 

1 ความคิดเห็น: